การระบาดโควิดระลอกใหม่น่ากังวลแค่ไหน
โควิด 19 ถึงแม้ว่าโควิด-19 จะถูกประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่นไปแล้วเมื่อวันที่ 1 เดือนตุลาคม และปรับให้เป็นโรคติดต่อที่จำต้องเฝ้าระวัง แม้กระนั้นดูเหมือนเหตุการณ์การระบาดกลับน่าวิตกขึ้นมาอีกครั้งนับจากสิ้นเดือน เดือนพฤศจิกายน ก่อนหน้านี้ ช่วงนี้ ผู้เสียชีวิตเฉลี่ยรายวัน เพิ่มเป็น 15 คนแล้ว
ข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ระบุว่า สถานการณ์โรคโควิด-19 ประเทศไทยยังมีทิศทางเพิ่มขึ้น แล้วก็มีคนเสียชีวิตเฉลี่ยยังเพิ่มสูง โดยคนตายทุกรายยังอยู่ในกลุ่ม 608 และเกือบทั้งหมดไม่ได้รับวัคซีน ได้รับวัคซีนไม่ครบ หรือได้รับเข็มกระตุ้นนานเกินกว่า 3 เดือนแล้ว
อย่างไรก็ดี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยออกมาว่า สถานการณ์ดูเหมือนจะเริ่มชะลอตัวลง และระบบสาธารณสุขยังรองรับได้
ฐานข้อมูลย้อนหลังของกระทรวงสาธารณสุขนับจากสัปดาห์ที่ 46 (13-19 พ.ย.) จำนวนผู้ติดเชื้อโรคเฉลี่ยทยอยมากขึ้นจากอาทิตย์ก่อนหน้า จาก 452 คน เป็น 565 คน ในขณะที่ยอดผู้ตายเฉลี่ยก็เพิ่มจาก 6 คน เป็น 9 คน
ในสัปดาห์ที่ 47 (20-26 พ.ย.) ผู้ติดเชื้อเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 702 คน และสัปดาห์ที่ 48 (27 พ.ย.-3 ธ.ค.) ปรับลดลงเป็น 612 คน และสัปดาห์ล่าสุด (4-10 ธ.ค.) ลดลงมาเป็น 566 คน
แต่ในแง่ของจำนวนผู้เสียชีวิตเฉลี่ยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นชัดเจน นับตั้งแต่สัปดาห์ที่ 46 จาก 9 คน เพิ่มขึ้นเป็น 10 คน และ 15 คน ตามลำดับ จนตัวเลขชะลอตัวในสัปดาห์ล่าสุดยังคงอยู่ที่ตัวเลขเฉลี่ย 15 คน
โควิด 19 สถานการณ์ตอนนี้เป็นเช่นไร
หมอโด่งดังหลายคนได้มีความคิดเห็นต่อสถานการณ์การระบาดในตอนนี้ว่า ยังคงน่าจับตาเนื่องด้วยยังมีความไม่แน่นอน ช่วงเวลาเดียวกันยังใกล้กับช่วงเทศกาลที่มีคนเดินทางรวมทั้งจัดงานครึกครื้น ซึ่งบางครั้งก็อาจจะส่งผลให้การระบาดเพิ่มสูงมากขึ้นอีก
รศ.นพ. ธีระ วรธนารัตน์ จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโพสต์เฟซบุ๊กถึงเหตุการณ์โควิด-19 โดยประเมินว่า ในเวลานี้ เหตุการณ์ถือว่า “พีคสูงกว่าระลอกสามในปีที่แล้วของอัลฟาและก็เดลตา แล้วก็… พีคสูสีกับระลอกช่วงครึ่งปีแรก ด้วยเหตุนั้น จึงย้ำเสมอว่าไม่ใช่เวฟเล็ก รอบข้างมีการติดกันรัว”
ยิ่งกว่านั้น รองศาสตราจารย์นพ. ธีระ ยังให้ความเห็นว่า ยังนับว่าตอบได้ยาก ว่าความผันผวนจะทวีความรุนแรงมากยิ่งกว่าตอนนี้หรือเปล่า และจะลงช้าเร็วเพียงใด จากการใช้ชีวิตเสรีในหน้าเทศกาล ถ้าไม่ป้องกันภัย
สถานการณ์โควิด “ศึก” นี้ จะกินเวลาไปกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก รวมทั้งได้โอกาสยืดไปจนถึงเกิดปะทุตอกย้ำซ้ำเติมจากสายพันธุ์ย่อยอื่นๆดังเช่น BQ.1.1, XBB, CH.1.1 ได้ ก็จะมีผลให้คล้ายกับระลอกสามที่อัลฟานำมาก่อน และก็ยังไม่ทันลงก็มีเดลตาเข้ามาซ้ำ
การตระหนักรู้ถึงสถานการณ์ และช่วยกันป้องกันตัวจึงสำคัญมาก
จับตาสายพันธุ์ใหม่จากอินเดีย
ท่ามกลางความรู้สึกวิตกกังวลของการระบาดในระลอกปัจจุบัน มีการตักเตือนจากแพทย์จากโรงหมอวิชัยยุทธถึงความเป็นไปได้ที่เชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่จากประเทศอินเดียจะเข้ามาระบาดในไทย เช่นเดียวกันกับกรณีที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปลายปี 2563 ที่เชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ซึ่งเจอทีแรกในประเทศประเทศอินเดีย แล้วก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็วทันใจแล้วก็เกิดการระบาดใหญ่ทั่วทั้งโลก และก็ในไทยเมื่อกลางปี พ.ศ.2564
นพ. มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าห้องห้องดูแลผู้ป่วยหนักในโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ คนป่วยหนัก แล้วก็โรคคนแก่ ประจำโรงหมอวิชัยยุทธ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ประเทศไทยต้องจับตาเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ที่กำลังแพร่ระบาดในประเทศอินเดีย เนื่องจากว่าบ่อยมากที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดกลายพันธุ์ตัวใหม่ในประเทศอินเดีย หลังต่อจากนั้นอีกไม่นานก็เจอการแพร่ระบาดของเชื้อสายประเภทนั้นในประเทศไทย
สำหรับเชื้อไวรัสตัวปัจจุบันที่จะต้องจับตา คือ ไวรัสโควิดสายพันธุ์ XBB
ซึ่งเป็นลูกผสมของเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ BA.2.10.1 กับ BA.2.75 โดยเชื่อว่าอีกไม่นาน ก็จะแทนที่สายพันธุ์ BA.2.75 ในประเทศอินเดีย
“ประเทศไทยเตรียมตัวได้เลยว่า หลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ BA.2.75 อีกไม่นานก็จะมีสายพันธุ์ XBB แพร่ระบาดเหมือนประเทศอินเดีย” เพราะสายพันธุ์ใหม่นี้ติดต่อกันง่ายกว่าสายพันธุ์เดิม และหลบหลีกภูมิคุ้มกันไม่ว่าจากการฉีดวัคซีนหรือการติดเชื้อธรรมชาติได้ดีกว่าสายพันธุ์เดิม
นพ. มนูญ ยังระบุอีกว่า ปัจจุบันเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ใช้เวลาสั้นกว่าเดิม เพียง 3-4 เดือน ก็เข้ามาแทนที่สายพันธุ์เดิม แล้วก็ทำให้เกิดการระบาดใหญ่ระลอกใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีกไปทั่วทั้งโลก
อย่างไรก็ตาม เชื้อไวรัส โควิด สายพันธุ์ ใหม่ ๆ ไม่ ได้ ทำให้ คนป่วยหนักและเสียชีวิตราวกับสายพันธุ์เดลตา โดยยิ่งไปกว่านั้นในคนที่ได้รับวัคซีน 4 เข็ม คือได้วัคซีนครบ 2 โดสและก็ตามด้วยเข็มกระตุ้นอีก 2 เข็ม
จำเป็นต้องฉีดวัคซีนอย่างไร วัคซีนรุ่นใหม่จะต้องรอนานแค่ไหน
หากว่าสัญญาณการระบาดในตอนนี้จะเริ่มชะลอตัว แม้กระนั้นการฉีดยาเพื่อเพิ่มภูมิต้านทานยังมีความจำเป็น เพราะเหตุว่าจะสามารถช่วยป้องกันอาการป่วยหนักและลดโอกาสการสูญเสีย
จาก ข้อมูล ของ กรม ควบคุม โรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ประชาชน ควรจะ ได้ รับ วัคซีน อย่าง น้อย 4 เข็ม ส่วน เข็ม ถัดไปควรจะ ฉีด ห่าง กัน ราว 4 เดือน และส่วนวัคซีนรุ่นใหม่ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา
ด้าน ศ. นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ใจความผ่านเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. เกี่ยวกับ คุณภาพของวัคซีนแบบใหม่โดยอ้างประกาศของศูนย์ป้องกันและก็ควบคุมโรคของสหรัฐฯ หรือซีดีซี (CDC) เกี่ยวกับสมรรถนะในการใช้จริงครั้งแรก (real world effectiveness data) ของวัคซีนรุ่นใหม่ bivalent mRNA (14 ก.ย.- 11 พ.ย.) รวมทั้งรายงานจากวารสาร Nature Medicine เมื่อ 6 ธ.ค. แล้วก็วารสาร Lancet Infectious Disease และ Lancet Microbe ประจำเดือน ธ.ค. ว่า ภูมิต้านทานหรือแอนติบอดีในเลือดไม่เป็นผลต่อเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ BA.2.75.2., BQ.1., XBB.1 และสายย่อยอื่นๆซึ่งมีความหมายว่าป้องกันการได้รับเชื้อไม่ได้
ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา CDC แล้วก็ ที่ทำการคณะกรรมการอาหารแล้วก็ยา (FDA) ได้ประกาศแล้วว่าแอนติบอดีที่ใช้สำหรับเพื่อการรักษาและป้องกัน รวมทั้ง evusheld (แอนติบอดีสำเร็จรูปหรือภูมิต้านทานสำเร็จรูปเพื่อป้องกันการได้รับเชื้อโควิด-19) ใช้ไม่ได้กับสายพันธุ์ย่อยใหม่กลุ่มนี้ ที่เข้ามาแทนที่ตัวเก่า
อย่างไรก็ตาม นพ. ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เผยเมื่อต้นเดือนก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาว่า กรมควบคุมโรค อยู่ระหว่างการปรึกษากับคณะผู้ที่มีความชำนาญถึงเรื่องประสิทธิผลของวัคซีนแบบใหม่ หรือวัคซีน 2 สายพันธุ์ ซึ่งถ้าพบว่าผลการศึกษาวิจัยสามารถป้องกันการรับเชื้อโควิด 19 อย่างชัดเจน ก็จะรีบดำเนินงานจัดหามาให้บริการประชาชนในปีหน้า